[รีวิว] Castlevania Dominus Collection พิชิตเจ้าอสูรรัตติกาลสามโลก

หมายเหตุ: บทความรีวิวนี้อ้างอิงการเล่นเกมจากเครื่องเล่น Nintendo Switch ผู้เล่นอาจได้รับประสบการณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันตามแพลตฟอร์ม

หนึ่งในรูปแบบเกมที่อยู่คู่กับผู้เล่นมาตั้งแต่ยุคที่เทคโนโลยียังคงมีข้อจำกัดคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Metroidvania ที่เป็นเกมตะลุยด่านแนวเดินข้างในแผนที่ขนาดใหญ่ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมที่มีต้นกำเนิดจาก Famicom เหมือนกันทั้ง Castlevania และ Metroid โดยทั้งสองเกมนี้ก็ล้วนต่อยอดไปเป็นเกมใหม่ๆ มากมาย อย่างไรเสียมีอยู่สามภาคครับที่หาเล่นกันได้ยากทีเดียวในสมัยนี้เพราะมันอยู่ในเครื่องเล่น Nintendo DS กระทั่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อ Castlevania Dominus Collection ได้กลับมานำเสนอสามเกมคลาสสิกนี้อีกครั้ง และพวกเราก็ไม่พลาดที่จะนำมารีวิวให้เพื่อนๆ ประกอบการตัดสินใจซื้อด้วยครับคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ไตรภาคที่สมบูรณ์ที่สุด

เมื่อเปิดเกมเข้ามาปุ๊บสิ่งที่เราจะได้เห็นกันตั้งแต่แรกก็คือหน้าเมนูที่แบ่งภาคอย่างชัดเจนว่าในชุดจะมีเกมภาค Dawn of Sorrow, Portrait of Ruins และ Order of Ecclesia เรียงกันเป็นแบนเนอร์ใหญ่ๆ พร้อมข้อมูลรายละเอียดในล็อกด้วยว่าเราเล่นเกมในไฟล์เซฟสุดท้ายวันที่เท่าไร (ซึ่งรู้สึกว่าไม่ค่อยจำเป็นแต่ใส่มาก็ดี) สิ่งที่รู้สึกชอบก็คือเมื่อเราไฮไลต์หน้าเกมภาคนั้นๆ ก็จะมีภาพคัตซีนฉากไตเติ้ลที่ ‘รีมาสเตอร์’ ใหม่เล่นให้ชมข้างหลังด้วย ตรงนี้ประทับใจเพราะทั้งสามภาคข้างต้นมันเป็นเกมที่ลงแค่เครื่องเล่นความละเอียดต่ำ พอได้เห็นฉากนำเสนอที่ดูคมชัดขึ้นก็เลยเกิดความรู้สึกว่านอสตาลเจียเล่นงานรัว

ทั้งสามเกมนี้จะเป็นเกมที่อ้างอิงจากเครื่องเล่น Nintendo DS แบบเต็มๆ คอนเทนต์หลักๆ ทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่มีบางส่วนที่สังเกตได้ว่าเปลี่ยนแปลงไป เช่นไดอะล็อกที่คิดว่าถูกนำมาแปลภาษาใหม่อีกครั้งเพื่ออ้างอิงให้เหมือนกับบริบทในเกมเวอร์ชันญี่ปุ่นมากขึ้น และน่าเสียดายเล็กน้อยที่การพอร์ตของตัวเกมนั้นเป๊ะกับต้นฉบับเกินไปนิด ดังนั้นพวกสไปรต์ที่เป็นพิกเซลอาร์ตก็พอรอดตัวไป แต่ถ้าเป็นส่วนภาพเรนเดอร์เช่นหน้าจอเวลาพูดคุยกันก็จะแตกนิดนึงครับ ใดๆ ก็เป็นสิ่งที่พวกเราพอคาดเดาได้อยู่แล้วเพราะเกมมันก็ขยับมาจากไซส์ 240p อยู่แล้ว กระนั้นก็ไม่ต้องกลัวจะเสียอรรถรสเกินไป

ทำความรู้จักเกมแต่ละภาคใน Castlevania Dominus Collection กันดีกว่า

มาถึงในส่วนของเนื้อเรื่องแล้ว แม้ว่าผมจะเรียกเป็นไตรภาคแต่ความจริงทั้งสามเกมอยู่ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและไม่ได้เชื่อมโยงกันมากเท่าไรนักนอกจากว่าจะเป็นเค้าโครงเกี่ยวกับการปราบแดร็กคิวลา (ฮา) และอยู่ในจักรวาลเดียวกัน หากเรียงตามลำดับเส้นเวลาจริง ภาคแรกจะเป็น Order of Ecclesia เกมภาคนี้มีการแสดงให้เห็นว่าอยู่ในเวลาเป็นร้อยกว่าปีก่อนเหมือนกัน, Portrait of Ruins จะเป็นช่วงสงครามโลก และ Dawn of Sorrow ที่เกมต้นฉบับขายเมื่อเกือบ 20 ปี มาแล้ว แต่บอกเล่าเนื้อหายุค 2030 ก็คือปัจจุบันค่อนไปทางอนาคตเลย

ลักษณะการเล่นของเกมนี้คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก เพราะทั้งสามเกมก็คือเกมแอ็กชันผจญภัยที่เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานแนว Metroidvania เพียงแต่จะมีเซ็ตติ้งฉากหลังที่ต่างกัน และเมคานิกบางส่วนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจุดนี้จะต้องยกไปคุยกันในหัวข้อถัดๆ ไปเรื่องของกิมมิคจากเครื่องเล่นต้นฉบับ แต่จุดที่รู้สึกว่าเห็นความแตกต่างชัดๆ ก็คือการเล่าเรื่อง โดย Dawn of Sorrow ให้ความรู้สึกเหมือนเกมต้นตำรับที่สุดด้วยแผนที่ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเป็นโลกเดียวกัน มีวิ่งย้อนกันสนุกสนาน ขณะที่ Portrait of Ruins ก็จะคล้ายกันแต่มีเทเลพอร์ตเชื่อมโยงไปสู่ฉากอื่นๆ และ Order of Ecclesia จะเป็นระบบแผนที่ มีเมืองคล้าย Hub World อีกทั้งยังมีระบบผสมอาวุธที่เน้นความเป็นแอ็กชันมากขึ้น

หากจะถามว่าชอบภาคไหนมากที่สุด ส่วนตัวผมชอบ Order of Ecclesia เพราะโทนเรื่องค่อนข้างเข้าใจง่ายมากเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ เพราะ Dawn of Sorrow สมัยที่ผมเคยเล่นบน Nintendo DS ก็ไม่ได้เล่นภาคก่อนหน้าเลยไม่อินความสัมพันธ์ตัวละครเท่าไร แต่ไม่ใช่ว่าจะเล่นไม่รู้เรื่องนะ เพราะมันก็บอกเล่าได้เข้าใจง่ายเหมือนกัน ส่วนภาค Portrait of Ruins คิดว่ามีฉากหลังมันแปลกตากว่าภาคอื่นๆ มีเซ็ตติ้งเช่นฉากโรงเรียน ฉากละครสัตว์ ทั้งหมดนี้ให้อารมณ์คนละแบบกันกับโลกที่ดูมืดทึม ฉันใดก็ฉันนั้นความเด็ดของทั้งสามภาคคือมีคอนเทนต์หลังจบเกมให้ปลดล็อกแบบจัดเต็มมาก ตัวละครลับเพียบ!

ระบบสองจอ – จอสัมผัสจาก Nintendo DS จะเป็นอย่างไร

สิ่งที่หลายคนอาจจะสงสัยไม่น้อยก็คือ Castlevania ทั้งสามภาคหลักในชุดนี้ ล้วนเป็นเกมที่วางจำหน่ายครั้งแรกบน Nintendo DS และเป็นเกมที่ได้รับการออกแบบเพื่อเครื่องเล่นรุ่นดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งถ้ายังจำกันได้เครื่องนี้ก็มีฟังก์ชันสร้างสรรค์จัดเต็ม ทั้งหน้าจอสองจอ และจอสัมผัส ดังนั้นแน่นอนว่าขั้นตอนการดัดแปลงสู่รูปแบบคอนโซลเพื่อเล่นบนโทรทัศน์จอเดี่ยวก็ย่อมท้าทาย แต่ Konami ก็สามารถทำได้! ก่อนอื่นเลยเรื่องของหน้าจอที่แบ่งบน – ล่างนั้น เราจะสามารถเลือกเทมเพลตได้ว่าให้มีหน้าจอไหนขึ้นแสดงบ้าง โดยทุกเทมเพลตจะเป็นการโฟกัสที่จอบังคับตัวละคร และหน้าจอที่ความสำคัญรองลงมาคือหน้าจอเมนูเสริมเช่น แผนที่กับข้อมูลของมอนสเตอร์ที่เรากำลังต่อสู้ (โดยปกติสลับในเครื่อง DS ได้) แต่เราจะไม่สามารถเลือกให้แสดงหน้าจอแค่จอบังคับได้ครับ

ถัดมาคือฟังก์ชันจอสัมผัสที่ภาค Dawn of Sorrow จะต้องโผล่มาตบตีกับเราตลอดด้วยระบบเวทมนตร์สำหรับตรึงวิญญาณที่ในเวอร์ชันต้นฉบับ ผู้เล่นจะต้องใช้ปากกาสไตลัสวาดสัญลักษณ์ลงไปบนหน้าจอ แต่สำหรับเวอร์ชันในชุดใหม่นี้เราจะได้กดปุ่ม QTE แทน คิดว่าเป็นวิธีที่โอเคกว่าการลากอนาล็อกเพราะตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่ามันต้องน่ารำคาญแน่ๆ พอปรับมาเป็นแบบนี้ก็เข้าใจง่ายขึ้น แต่ใครไม่ชอบเล่น QTE อาจจะรำคาญ เพราะถึงไม่ได้จับเวลาภายในเวลากำหนดแต่ก็บังคับให้เรากดอยู่ดี อย่างไรเสียในภาคนี้จะต้องใช้อนาล็อกจำลองปากกาในช่วงเปิดเกมนิดหน่อยเพราะต้องเขียนชื่อลงหน้าไฟล์เซฟ

อีกหนึ่งสิ่งที่เพิ่มใน Castlevania Dominus Collection ก็คือฟังก์ชันเสริมที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวก ตัวเกมทั้งสามจะมีคุณสมบัติในการ Rewind ฉากที่เราพลาดท่า เช่นถ้าเกิดวิ่งชนศัตรูจน HP หมด ก็กดปุ่ม ZL ค้างไว้ (หรือ LT สำหรับ Xbox และ L1 สำหรับ PS5) เกมจะโชว์เส้นเวลาให้เราข้างล่าง ย้อนกลับได้ประมาณ 30 วินาที เลือกตามเฟรมที่ต้องการเลยครับ อีกหนึ่งระบบที่คิดว่าดีมากๆ ก็คือ Save State ที่เราจะบันทึกไฟล์เซฟแบบบังคับบันทึกได้ ไม่ต้องรอวิ่งไปตามจุดเซฟเพื่อคอนทินิวแต่อย่างใด ทั้งนี้บางคนอาจจะไม่ได้ใช้บ่อยขนาดนั้น อย่างผมก็ไม่ค่อยชอบ Save State เพราะชินระบบเซฟเดิม ดังนั้นแล้วแต่ความประสงค์

คอนเทนต์เสริมที่เพิ่มความคุ้มค่าทั้งแกลอรี่ และเกมโบนัส

เมื่อเป็นการรวมฮิตเกมดังแบบนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือของแถมเพื่อเอาใจคอเกมที่ให้การสนับสนุนและรอคอยมาเป็นเวลานาน โดยเราจะสามารถฟังเพลงประกอบเกมทั้งหมดได้ตั้งแต่แรกเลยโดยไม่ต้องปลดล็อกใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีแกลอรี่สำหรับชมภาพอาร์ตเวิร์กหายากได้ด้วย อย่างไรก็ตามภาพแถมไม่ได้มีแค่นั้น เพราะ Konami ยังเอาใจคอเกมนักสะสมด้วยการแถมสแกนภาพคู่มือเกม และภาพปกเกมจาก Nintendo DS เข้ามาให้ดูเลยด้วย เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยที่คู่มือยังแถมมากับกล่องแบบปกหนาๆ เลยนะเนี่ย

อีกหนึ่งโบนัสที่ต้องพูดถึงก็คือ Haunted Castle ที่เอาเข้าจริงก็คิดว่าเป็นสองเกมด้วยซ้ำเพราะเกมนี้เป็นผลงานรูปแบบอาร์เคดเกมแรกของแฟรนไชส์นี้ โดยมีทั้งเวอร์ชันต้นฉบับ และเวอร์ชันรีเมคในชื่อ Haunted Castle Revisted ซึ่งโดยรวมระบบการเล่นเหมือนกัน ต่างกันเพียงกราฟิกและฉากบางฉาก นั่นคือจะต้องเคลียร์เกมภายในเวลาที่กำหนด (ด้วยลักษณะการออกแบบของเกมตู้ยุคก่อนจึงยืนนิ่งๆ ไม่ได้) แต่เพิ่มดีกรีความโหดด้วยข้อจำกัดที่ว่าหากพลังชีวิตหมดครบ 3 รอบ จะต้องเริ่มเกมใหม่ อันนี้เป็นเกมแถมเล่นขำๆ ได้ครับ แต่ดีเทลก็ไม่ได้มีอะไรเยอะมากเพราะมันก็เป็นเกมตู้หยอดเหรียญสมัยก่อนอยู่แล้ว มีคัตซีนประปราย

บทสรุป

Castlevania Dominus Collection ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการหาเกมแส้ทั้งสามภาคจากเครื่อง Nintendo DS มาเล่นและเป็นเจ้าของ และแม้จะไม่ได้คิดถึงของแถม แต่คอนเทนต์ของสามเกมล้วนอัดแน่นให้เราได้ค้นหากันร่วมร้อยชั่วโมง ซึ่งเกมเองก็เปิดราคาค่อนข้างเป็นมิตรเลย รู้สึกว่าบน PC เองก็อาจจะถูกกว่าด้วยค่าตัวไม่ถึง 800 บาทด้วยซ้ำ เทียบกับปริมาณเนื้อหาก็คุ้มค่า ข้อติมีนิดเดียวคือด้วยความที่เกมนี้เป็น Sprite-based ดังนั้นกราฟิกสองมิติอาจจะแตกไปนิดนึง กระนั้นก็ไม่ทำให้รู้สึกเสียอรรถรสครับ

ปัจจุบัน ตัวเกมได้จำหน่ายแล้วทั้งบน PlayStation 5, Xbox Series X|S, Nintendo Switch และ PC เลยครับ โดยมีการเปิดตัวครั้งแรกในงาน Nintendo Direct เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เองพร้อมให้เล่นในวันเดียวกัน ดังนั้นก็เลยเซอร์ไพรส์แฟนเกมกันเป็นพิเศษ ส่วนโอกาสหน้านั้น ThisIsGame Thailand จะมีอะไรมาอัปเดตให้ฟังกันอีก ว่าแล้วอย่าลืมติดตามที่นี่เช่นเคยเพื่อไม่ให้พลาดทุกข่าวสารน่าสนใจในวงการเกมก่อนใคร

Castlevania Castlevania Dominus Collection konami

Related Posts